เทศน์เช้า

จิตยิ้ม

๑๓ ก.ค. ๒๕๔๔

 

จิตยิ้ม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พอปฏิบัติไปถึง “จิตยิ้ม” นะ แล้วจิตยิ้มหมายถึงว่าเราคิดเราตีความหมายของเรา ว่าถ้าจิตยิ้มหมายถึงว่ามันทำปฏิกิริยา มันเบิกไง มันยิ้มเหมือนกับดอกบัว ถ้าดอกบัวมันบานนะ ดอกบัวบาน ดอกบัวมันรับแสงแดด มันบาน ไอ้นี่ก็เหมือนกัน จิตปกติมันปกคลุมอยู่ ถ้าจิตปกติมันปกคลุมอยู่ มันมืดบอดด้วยกิเลสมันปกคลุมอยู่ ถ้ามันยิ้มนะ แสดงว่ามันแยกตัวออก มันทำปฏิกิริยาไง จิตยิ้ม...

จิตยิ้มของหลวงปู่ดูลย์ อ่านเจอว่าภาวนาจนจิตมันจะยิ้มออกมา แล้วถ้ามันความหมายนั้นตีว่าถ้าจิตยิ้มนี่เป็นพระโสดาบันเนาะ ถ้าจิตยิ้มอย่างต่ำได้พระโสดาบัน จิตยิ้ม...อ่านเจอแล้วจิตยิ้ม จิตยิ้มคือจิตมันปฏิบัติไปแล้วมันจะยิ้มเอง จิตมันยิ้มเอง

แล้วก็จิตตื่น จิตตื่นนี้ตื่นแบบหมดเลย ถ้าจิตตื่น ตื่นแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตาย ตายพร้อมกับจิตเบิกบาน จิตมันตื่นขึ้นมา มันรู้เข้าใจความตาย เพราะว่าท่านจะตาย ท่านบอกว่า ท่านเทศน์ถึงเรื่องพระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าตาย พระพุทธเจ้าไม่ได้ตายด้วยสิ่งใดเลย พระพุทธเจ้าตายด้วยความตื่นของจิต จิตมันตื่นอยู่ มันเข้าใจอยู่

เรามันหลับตายไง คนตายธรรมดานี่มันหลับตาย หลับแล้วตายไปเพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน ไม่รู้เข้าใจว่าสิ่งต่างๆ แล้วมันพยายามกระวนกระวาย มันพยายามดึงอะไรของเราไว้ มันปิดไปหมดเลยนะ หลับตาย

ถ้าตื่นตายก็เหมือนกับคนตื่นอยู่ เพียงแต่ก้าวพ้นประตูไปเฉยๆ เพราะมันไม่มีการเกิดและการตาย คนภาวนาเข้าใจแล้วจะไม่มีการเกิดและการตาย การเกิดและการตายนี้เป็นสมมุติเฉยๆ เหมือนเราก้าวผ่านธรณีประตูไป เข้าห้องออกห้อง เข้าบ้านออกบ้าน

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน จิตมันก้าวออกจากร่างกายไป เห็นไหม จิตตื่นตื่นอย่างนั้น จิตตื่นเพราะว่าไม่กลัวในความตายเลย ไม่กลัวใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ตกใจไง ไม่ตื่นกลัว จิตตื่นอยู่ ท่านตื่นอยู่ ท่านตายด้วยความตื่นอยู่ อายุ ๙๖ ปี...หลวงปู่ดูลย์ตาย เวลาตายนี่ ตั้งแต่หัวค่ำไปนอนอยู่เฉยๆ เลย เทศน์ให้คนฟัง แบบว่างานวันเกิดไง งานวันเกิดให้สวดมนต์ให้ฟัง

แล้วสุดท้ายพูดถึงเรื่องจิตตื่น จิตตื่นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตายไปไม่ข้องแวะสิ่งใดๆ เลย ตายไปด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ตายไปด้วยความเข้าใจ ตื่นตาย คนเราตื่น หัวใจมันตื่นแล้วเบิกบานแล้วมันตายไป มันเปลี่ยนธาตุขันธ์ไป ไม่มีวิบากของขันธ์ คือว่าไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเลย ๙๐ กว่าปีนี่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บแต่น้อย เจ็บพอประมาณ

แต่ถ้าเรามีวิบากของขันธ์นะ เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาวนอนอยู่ เห็นไหม ต้องเป็นสิบๆ ปีเลย ต้องให้คนอื่นคอยพยุงธาตุขันธ์ไว้ให้ เพราะว่าวิบากของขันธ์ คือเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วต้องคนรักษาไป แต่นี่ไม่มีวิบากของขันธ์ คือคนมีโรคภัยไข้เจ็บน้อย แต่ก็เข้าโรงพยาบาลอยู่เหมือนกัน แล้วเวลาตาย ท่านเทียบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะพูดถึงว่าความรู้สึกของท่านนั่นนะ จิตตื่นตาย ท่านก็ตื่นตายไป ท่านไม่ตกใจ ท่านไม่ข้องแวะสิ่งใดๆ ติดใจไป แล้วก็ว่าจิตตื่นตาย

จิตยิ้มหมายถึงว่าการเข้าใจในธรรม มันทำปฏิกิริยา อย่างเช่นเราทำปฏิกิริยา เวลากิเลสมันจะขาดออกไปจากใจ มันต้องมีปฏิกิริยา คือว่ามันต้องกระเพื่อมใช่ไหม? น้ำในแก้ว เราจะตักน้ำออกหรือตักน้ำเข้า น้ำต้องกระเพื่อม น้ำกระเพื่อมหมายถึงว่ามันลดส่วนลงไป หรือถ้ามันเพิ่มส่วนมันล้นออกไป มันไหวติงของมัน

นี่ก็เหมือนกัน จิตของเราไม่เคยตื่น ไม่เคยไหวติงเลย ดูอย่างเช่นเราทำความสงบของใจสิ เวลาเห็นกายขึ้นมา มันสะเทือนหัวใจ เห็นไหม ถ้าคนเห็นกายหรือเห็นจิตจริงๆ นะ เวลาจับต้องได้ เราจับต้องตรงนี้กันไม่ได้ เราไม่สามารถวิปัสสนาได้เพราะเราไม่ได้งานชอบ เราจับงานของเราไม่ได้

พอเราจับงานของเราไม่ได้ มันเป็นการหลับใหล มันไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะมันหลับใหล มันไม่รู้สึกตัวไง ถ้าเรายิ้มแย้ม เห็นไหม เราอ้าปาก เรายิ้มกันนะ ปากเรา เห็นไหม ร่างกายมันต้องเปิดกว้าง มันต้องยิ้มออกไป นี่จิตมันกระเพื่อม มันกำลังต้องเข้าถึงตรงนั้น มันถึงเป็นจิตยิ้มได้ จิตยิ้มคือมันกระเพื่อมออกไปจากมัน มันกระเพื่อมออกไปแล้วมันยิ้มแย้มแจ่มใส นี่กระเพื่อมนะ

แล้วความสุขนะ ความสุขจากการยิ้มคือความสุขจากความเข้าใจ ความจับต้องกิเลสได้แล้วพิจารณา วิปัสสนากิเลส ความจับต้องกิเลสได้มันถึงกระเพื่อม ถ้าคนเห็นการกระเพื่อมของจิตนะ ความสงบของจิตนะมันจะหวั่นไหวมาก เห็นกะโหลกศีรษะ เห็นอะไรนะ เห็นร่างกายของตัวเอง เห็นด้วยตาของใจ ไม่ใช่เห็นแบบด้วยหมอเขาเห็น เห็นด้วยตาของใจมันจะสะเทือนหัวใจมาก มันจะหวั่นไหวไปถึงขั้วหัวใจเลย เพราะอะไร?

เพราะกิเลสนี่มันฝังอยู่ในหัวใจแน่นหนามาก แล้วมันไม่เคยเห็นไง มันเวียนไปเวียนเกิด เห็นไหม ฉะนั้นเวลาตายมันถึงหลับตายไง หลับตายเพราะกิเลสมันปกปิดไว้ มันปกปิดไว้ว่าคนเกิดตาย มันยึดมั่นถือมั่นในภพชาติอันนี้มาก ยึดมั่นถือมั่นในเรานี่มาก

แต่ความจริงเรามันแค่อาศัยชั่วคราว เห็นไหม จิตดวงนี้มันเกิดตายเกิดตายมาตลอด มันเสวยภพชาติมาตลอด แล้วมันก็เกิดตายมาอย่างนั้น มันไม่มีต้นไม่มีปลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูแล้วมันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันเกิดตายมาตลอด

แต่เราพอมาเกิดตายชาติหนึ่ง เราจะยึดไง ยึดสิ่งที่เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นความจริง ให้ยึดมั่นถือมั่นเป็นของเรา แต่ความเกิดความตายนั้นมันเป็นความจริง แล้วตัวจิตที่มันกล้าอยู่ ความเกิดการตายนั้นมันจริงยิ่งกว่าความจริงอันนี้อีก เพราะว่ามันเกิดมันตาย มันเปลี่ยนภพชาติมาตลอด

นี่มันหลับตายอย่างนั้น หลับตายเพราะความไม่เข้าใจ หลับตายเพราะความกระวนกระวายไง หลับตายเพราะความดึงไว้ไง เหนี่ยวรั้งไว้ ไม่ยอมให้มันสิ้นไป เหมือนกับว่าสัจธรรมความจริง มันต้องไปตามสภาพของมัน น้ำ แม่น้ำตั้งแต่ต้นน้ำ ต้องไหลลงทะเลไปหมด

อันนี้ก็เหมือนกัน ชีวิตนี้บ่ายลงสู่ความตายทั้งหมดเลยนะ ชีวิตของเราน่ะ เพียงแต่ว่าบ่ายลงสู่ความตาย ขณะที่แม่น้ำมันไหลลงมา มันได้ประโยชน์อะไรกับกระแสน้ำนั้น มันทำประโยชน์อะไรกระแสน้ำนั้น ไปตามแม่น้ำนั้น เห็นไหม ต้นไม้ ตามต้นไม้นี่มันได้รับความชุ่มชื้น

ไอ้เราก็เหมือนกัน ชีวิตนี้บ่ายลงสู่ความตาย บุญกุศลของเราเราหาไว้ได้ไหม? เราทำบุญกุศล เราทำจิตของเราประเสริฐไหม? ถ้าเราทำความประเสริฐนั้น จิตอันนี้มันดีขึ้นพัฒนาขึ้น แต่ถ้ามันวิปัสสนา เราเจอธรรม อันนี้สำคัญที่สุดเลย เราเจอธรรมแล้วเราสามารถประพฤติปฏิบัติได้ เราทำไมไม่ทำ? เราทำไมใช้ชีวิตไปวันๆ หนึ่ง? ใช้ชีวิตไปอย่างนั้น?

เวลามันจะตายขึ้นมา มันก็ยึดเหนี่ยวไว้ เห็นไหม ยึดเหนี่ยวไว้มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะเราประมาท เวลาเราควรจะทำได้ เหมือนกับเวลาเราแก้ไขได้ เราไม่แก้ไข พอถึงที่สุดแล้วมันหมดโอกาสแก้ไข แล้วเราอยากจะแก้ไข

อยากจะแก้ไขเพราะมันเห็นภัยไง อยากจะแก้ไขเพราะมันจะเป็นความทุกข์ มันจะล่วงพ้นไป ความตายนี้มันถึงที่สุด แล้วมันไปแล้วมันเป็นความจริง มันเห็นว่าความตายความจริง แล้วมันเห็นความทุกข์ความยาก มันพยายามจะแก้ไขตรงนั้น มันก็ช้าเกินไป นี่มันถึงหลับตาย

ถ้าตื่นตายมันต้องอยู่ที่ตรงนี้ ตื่นตายอยู่ที่ตรงว่าเราพยายามทำใจของเรา ตื่นตายถึงสอนหัวใจไง สอนหัวใจให้มันยิ้มก่อน พอมันยิ้มขึ้นมาเป็นพระโสดาบัน ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา มันรู้ถึงวิธีการไปแล้ว มันจะทำไปจนเลยยิ้มไง จนตื่นตัวตลอดเวลา ตื่นหมดสิ้นจากกิเลสทั้งสิ้น ในหัวใจนั้นตื่นตัวตลอด แล้วมันสิ้นสุดของมันแล้ว มันตายตั้งแต่กิเลสมันตาย พอกิเลสมันตายจากหัวใจ มันตื่นตัวตลอดเวลาเลย

นี่มันเป็นผลของว่าที่อยู่ในหัวใจของเรามี เราไม่ประมาทในชีวิตของเรา ถ้าเราประมาทในชีวิตของเรา เราก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไป

วันนี้วันพระนะ วันพระนี่เราต้องตื่นตัวขึ้นมา อดอาหาร เห็นไหม ถือศีลของเราแล้วอดอาหาร พยายามทำของเรา ถ้าทำใจของเราให้มันประสบทีหนึ่ง ถ้าใจมันประสบทีหนึ่ง มันมีเครื่องการันตีนะ “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ นี่ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเพราะว่ามันสัมผัสเอง ความทุกข์ถ้ามันความเห็นของคนอื่นบอก มันก็เป็นความอื่นบอก เห็นไหม หนามยอกเท้านี่ ถ้ามันยอกเท้าขึ้นไป เราไม่บ่งมันเจ็บปวดมาก แล้วทำไมต้องบ่งออกไป?

เราต้องบ่งหนามออกนะ ไม่บ่งออกมันจะเน่า มันจะเสีย เท้าจะเสียไป แต่เวลาเราเห็นนะ ชีวิตนี้มันโดนกิเลสมันปักเสียบไว้ เราต้องบ่งออกไป ทำไมเรานอนใจ?

เรานอนใจมากนะ ชีวิตเราโดนกิเลสมันปักเสียบไว้ในหัวใจ เหมือนหนามยอกเท้า หนามยอกเท้ายังเอาไว้ไม่ได้เลย เอาไว้นี่มันเน่า ทุกคนพอใจจะเอาออกเพราะมันเจ็บปวด มันรู้สึกตัว มันเป็นวัตถุ มันเป็นเรื่องของร่างกาย ความเจ็บปวดมันจะมีตลอดเวลา

แต่เวลากิเลสมันยอกใจ มันยอกใจแล้วมันผ่อนคลายให้หายใจได้ไง ผ่อนคลายให้ชีวิตนี้มีความดำรงเป็นความเป็นอยู่ ดำรงความเป็นอยู่มันก็พอใจ มันพอใจไปตรงนั้นนะ พอใจตรงที่ว่ามันยังพอใจเป็นไปได้ มันไม่เหมือนกับเจ็บเท้า เจ็บเท้ามันเดินไม่ได้ มันต้องถอดหนามออกเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่เดี๋ยวนั้น มันเจ็บเท้าแล้วมันจะเสียหายไป

แต่หัวใจไม่เป็นแบบนั้น หัวใจมันผ่อนคลายไปๆ นี่มนุษย์สมบัติมันดีอย่างนั้น ดีกว่าในนรก ในนรกนี้มันจะเจ็บปวดไปตลอดเวลา ในสวรรค์ก็เพลินไปตลอดเวลา แต่... (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)